จีนเผย 70 ปีจากจุดที่ยากจนสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก

จีนเผย 70 ปีจากจุดที่ยากจนสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก

- in headline, อาเซียน +3, เศรษฐกิจ

จีนเผย 70 ปีเริ่มต้นจากจุดที่ยากจน วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ล้าหลังฝ่าฟัต่อสู้จนเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แจงจีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน ยันไม่ขาดดุลการค้าและจะไม่เอาเงื่อนไขมากดดันไทย ชี้นักท่องเที่ยวจีนยังนิยมมาไทยคาดจะทะลุ 12 ล้านคนในปีหน้า

เมื่อเร็วๆ นี้ นายเหริน ยี่เซิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำเชียงใหม่ กล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสพบปะสื่อมวลชนในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อแนะนำเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของจีนและความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับ”หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” โดยกล่าวว่า ปี 2019 เป็นปีที่ครบรอบ 70 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นปีที่สำคัญสำหรับคนจีนที่จะได้รับชัยชนะในการสร้างสังคมอยู่ดีกินดีในทุกด้านและบรรลุเป้าหมาย “หนึ่งร้อยปี” เป็นครั้งแรก

ระยะแรกของการก่อตั้งประเทศจีนใหม่ ประชาชนทั่วประเทศอาศัยอยู่ในความยากจน ในปี 1978 ประชากรที่ยากจนในชนบทมีจำนวน 770 ล้านคนทั่วประเทศ จนถึง ปี 2018 จำนวนคนยากจนในชนบทลดลงเหลือ 16.6 ล้านคน ตอนนี้จีนกำลังต่อสู้กับความยากจนและจะช่วยเหลือประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนอย่างสมบูรณ์ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อภายในปี 2020 ดังนั้นประเทศจีนจึงมีบทบาทที่สำคัญในการช่วยโลกลดจำนวนประชากรยากจนลง

1 ปีแห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศ อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของเศรษฐกิจจีนอยู่ที่ 9.9% ซึ่งอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลักมานานกว่า 30 ปีและผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้น 225 เท่าตัวซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในโลก

ในช่วงเวลาเพียง 70 ปีเท่านั้น จีนใหม่เริ่มต้นจากจุดที่มีความยากจน วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ที่ล้าหลัง จากการฟันฝ่าต่อสู้ที่เด็ดเดี่ยว จนกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการนำเข้าส่งออกสินค้า เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสินค้าบริโภค มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าสู่ประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสอง และมีเงินตราต่างประเทศสำรองอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายปี ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 16 % ของ GDP ของโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอัตราคูณุปการพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกสูงถึงประมาณ 30% ซึ่งเป็นผลรวมของสหรัฐอเมริกายุโรปและญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ที่มีจุดเริ่มต้นต่ำรากฐานที่อ่อนแอและประชากรเกือบ 1.4 พันล้านคน

“70 ปีแห่งความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของเรา ไม่ใช่สวรรค์ประทานลงมา แต่เป็นทั้งพรรคและประชาชนทุกชนชาติในประเทศทำการสำรวจอยู่ตลอดเวลา ร่วมกันต่อสู้อย่างต่อเนื่อง สร้างนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนดี ในปี 2018 แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกจะซบเซา แต่สหรัฐฯได้กระตุ้นให้เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐขึ้น บวกกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนแรงงานและต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่ลดลงอย่างมาก แต่เศรษฐกิจของจีนยังคงเติบโตที่ 6.6% และผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ในระดับปานกลาง”

ในปี 2019 ประเทศจีนรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีอยู่ที่ 6.0% ถึง 6.5% เศรษฐกิจขยายตัว 6.4% ในไตรมาสแรก ความคิดการพัฒนาของจีนกำลังเปลี่ยนแปลงและก้าวไปสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพที่สูงขึ้น ไม่ติดตามอัตราการเติบโตของGDP รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ต่อไปในอนาคตการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนจะมีการขึ้นสูงบ้างและต่ำลงบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ โดยใช้ความยืดหยุ่นของการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะความเชื่อมั่น

กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่งนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีได้เสนอข้อริเริ่มแนวคิดหลักความร่วมมือกับนานาชาติของ”หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”ว่า 1 แถบหนึ่งเส้นทางเสนอโดยจีนแต่ผลประโยชน์แบ่งปันกันทั่วโลก เป็นการสร้างประชาคมที่มีชะตากรรมร่วมกันของมนุษยชาติ ร่วมกันสร้าง ร่วมกันลงทุนลงแรงและแบ่งปันผลสำเร็จในการทำงานร่วมกัน โดยเชื่อมโยงนโยบาย สาธารณูปโภค การค้า การเงินและประชาชน ตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมาปัจจุบันมี 123 ประเทศและ 29 องค์กรโลกร่วมลงนามในหนังสือความร่วมมือของ”หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”

นายเหริน ยี่ เซิง ยังกล่าวถึงการส่งเสริมความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างจีนและภาคเหนือของไทยว่า ไทยมีจุดเชื่อมต่อทางบกและทางทะเลในกลุ่มประเทศอาเซียนและไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ทางหลวง ทางรถไฟ ท่าเรือที่สมบูรณ์แบบอีกทั้งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไทยกำลังกำหนดยุทธศาสตร์รพัฒนาระดับชาติในอีก 20 ปีข้างหน้าและคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อีกจำนวนมากซึ่งสอดคล้องกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกันและไทยเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีนในอาเซียน จีนไม่ขาดดุลการค้ากับไทยและจะไม่เอาเงื่อนไขมากดดันไทยด้วย มีผู้ประกอบการจีน 105 บริษัทเข้าร่วมในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน โครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างจีนไทยเริ่มก่อสร้างมาปี 2017 และเมื่อเสร็จสิ้นจะมีนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหม่มาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 2 ล้านคนต่อปี ในปี 2018 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศไทยกว่า 10 ล้านคนคิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดและ 2 ล้านคนเดินทางมาภาคเหนือของไทย มีนักเรียนจีนเกือบ 4 หมื่นคนกำลังศึกษาอยู่ในประเทศไทย และมากกว่า 7 พันคนศึกษาในภาคเหนือของไทยและนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศจีนอีกเกือบ 3 หมื่นคน

“แม้ปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญกับเรือล่มที่ภูเก็ตจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงและไม่บรรลุเป้าหมายจากเดิมที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย 12 ล้านคน แต่ปีที่ผ่านมาก็ยังมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยมา 10.5 ล้านคนซึ่งเพิ่มจากเดิม และนักท่องเที่ยวจีนที่เคยหรือจะไปเที่ยวภาคใต้ก็หันมาเที่ยวภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ซึ่งก็มั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาเชียงใหม่เกิน 2 ล้านคน”

กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ กล่าวยืนยันว่า ปีนี้ทางผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมต่างๆ ในเชียงใหม่บอกว่านักท่องเที่ยวจีนลดลง ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ลดลงเลย แต่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามายังมีจำนวนมากเท่าเดิมเพียงแต่ไม่เข้าพักโรงแรมหรือมากับบริษัทนำเที่ยว แต่ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มเปลี่ยนไปโดยจะเดินทางมาเองและไปพักตามอพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียมหรือพักกับญาติ

ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมีพื้นที่ปลูกพืชผัก ผลไม้ได้ผลดีทั้งข้าว ทุเรียน มังคุด ยางพาราซึ่งเป็นที่ต้องการและเป็นที่นิยมของชาวจีนซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน จึงมีโอกาสและช่องทางมากมาย ไม่เฉพาะแค่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากถึง 10 ล้านคนต่อปี สำหรับเชียงใหม่ไม่เหมาะที่จะพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมแต่เป็นเมืองที่เหมาะกับการท่องเที่ยวและพักผ่อน จึงควรพัฒนาให้เป็นเมืองสมาร์ทซิตี้ อีคอมเมิร์ซ พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีชั้นสูงมากกว่า นอกจากนี้ก็ควรหันมาส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ชา กาแฟ ไม้ไผ่และหญ้าเนเปียร์เพื่อลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะได้ช่วยแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่สร้างความเสียหายและผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งทางสถานกงสุลจีนประจำเชียงใหม่ได้ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดเวทีสัมมนาเรื่องปัญหาหมอกควันในภาคเหนือในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ด้วย

“นักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศค่อนข้างเยอะ ทำให้ไทยมีคู่แข่งมากขึ้น ซึ่งหลายประเทศก็พยายามดึงนักท่องเที่ยวจีนไปทั้งสิงคโปร์ อินเดีย ฟิลิปปินส์และลาวหรือพม่า ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะไทยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามผมยังเชื่อมมั่นว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนจะมา ซึ่งทุกปีมีนักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศเกิน 150 ล้านคน และเดินทางมาไทย 10.5 ล้านคนซึ่งก็ถือเป็น 1 ใน 10  ก็ถือว่าเยอะพอควร”

ไทยมีผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่ดีมาก มีการประชาสัมพันธ์ให้คนจีนได้รับรู้ และวัฒนธรรมทางการท่องเที่ยว เป็นจุดดึงดูดที่ทำให้คนจีนมาเที่ยวแล้วรู้สึกสนุกและมีความสุข นักท่องเที่ยวจีนชอบมาประเทศไทยเพราะมีความปลอดภัยในระดับสูง จะเห็นว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่มาเชียงใหม่ 2 ล้านกว่าคน อัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตน้อยกว่าไปเที่ยวประเทศอื่น ทั้งๆ ที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ไปท่องเที่ยวประเทศเหล่านั้นอัตราน้อยกว่าเชียงใหม่ และภาคเหนือของไทยก็เป็นที่สนใจมาก หากรวมทั้งนักศึกษา นักลงทุนและกลุ่มเยาวชนที่มาเรียนโรงเรียนนานาชาติและอาศัยอยู่กับครอบครัว ตลอดจนผู้สูงอายุและนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและมารักษาตัวในเชียงใหม่มีจำนวนตัวเลขที่สูงกว่า 2 ล้านคนต่อปี

นายเหริน ยี่ เซิง ยอมรับว่า ปัญหาจำนวนคนจีนที่อยู่ในเชียงใหม่ขึ้นอยู่กับการมองอย่างไร ถ้าเป็นคนจีนที่เข้ามาอยู่ระยะยาวโดยถือวีซ่าระยะยาว ตัวเลขนี้ทางตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)และBOI จะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่า ซึ่งก็คาดว่าน่าจะมีประมาณ 7-8 หมื่นคน

ขณะที่นายจาง จื้อ เหวิน กงสุลฝ่ายพาณิชย์ สถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำเชียงใหม่ กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือของไทยจะมีบริษัทใหญ่จากจีนมาลงทุนค่อนข้างน้อยไม่เหมือนที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง องค์กรใหญ่หลักๆ ที่มาลงทุนได้แก่ Bank of China และธนาคาร ICBC ที่ลงทุนร่วมกับหน่วยงานรัฐไม่มี แต่ที่ลงทุนร่วมกับรัฐวิสาหกิจของไทยจะมีบริษัท

แต่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนจะเป็นเอกชนหรือ SME ประเภทที่ลงทุนได้แก่ การค้า เกษตร บริการ ร้านอาหาร ท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ ซึ่งการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีนในนามเอกชน ตามกฎหมายจีนไม่ได้บังคับให้นักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนรายงานต่อสถานกงสุลฯ เพราะฉะนั้นมาตรการหรือข้อบังคับต้องเป็นฝ่ายไทยที่จะต้องออกกฎหมายหรือมาตรการออกมา อย่างไรก็ตามทางการจีนกำหนดให้คนจีนนำเงินออกนอกประเทศได้เพียงปีละ 5 หมื่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปีต่อคน อย่างไรก็ตามทางสถานกงสุลหรือรัฐบาลจีนเองก็จะให้คำแนะนำกับนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่จะไปลงทุนนอกประเทศให้เคารพกฎ ระเบียบและกติกาของประเทศนั้นๆ

นายเหริน ยี่ เซิง กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ กล่าวถึงปัญหาสงครามทางการค้าจีนกับสหรัฐอเมริกาว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาที่สหรัฐอเมริกาทำขึ้นเอง ทั้งโจมตีหัวเหว่ยและสงครามเย็นทางเทคโนโลยีโดยอ้างว่าเป็นการปกป้องประเทศตนเอง ซึ่งจีนมองว่าการทำสงครามการค้าประโยชน์แทบจะไม่มีและเป็นผลเสียมากกว่า ทำให้คนอื่นรำคาญและตัวสหรัฐฯเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะนอกจากจะกระทบจีนแล้ว ก็ยังกระทบกับนักลงทุนของสหรัฐอเมริกาเองด้วย เพราะมีบริษัทเอกชน 150 บริษัทที่ขอให้ยกเลิกการกีดกันภาษีเนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างมาก

“จีนประกอบการค้าภายในประเทศถึงร้อยละ 75 โดยนำเข้าเพียงร้อยละ 17 หากจีนจะต้องลดการส่งออกเศรษฐกิจจีนก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก ในส่วนของอาเซียนนั้นในการทำสงครามการค้าครั้งนี้ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ของไทยก็ออกมาระบุแล้วว่าภายใต้สงครามการค้าจีนสหรัฐฯในครั้งนี้ ทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ไทยจะมีปัญหาในการส่งออกกับประเทศแถบตะวันออกกลางที่เศรษฐกิจทรุดตัวลง นอกจากนี้ยุทธศาสตร์จีนปี 2030 จะต่อต้านกลุ่มอนุรักษ์นิยมและเชื่อมโยงข้อมูล ข่าวสารระหว่างอาเซียนมากขึ้น ดังนั้นภายใต้ความร่วมมือจีนกับอาเซียนจะมีการเชื่อมโยงทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ประชาชนและด้านต่างๆ ที่เน้นการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ พลังงานและการค้าให้เสรี ส่วนประชาชนก็จะมีการเชื่อมโยงกันทั้งทางด้านการศึกษาและวัฒนธรรม และภายใต้กรอบปี 2019 นี้อาเซียนจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นร้อยละ 5 ขณะที่จีนคาดว่าเศรษฐกิจของจีนจะโตร้อยละ 6.5 ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีของทุกฝ่าย”กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ กล่าวชี้แจง.

You may also like

เริ่มแล้วกับงาน“AMAZING CHIANG MAI COUNTDOWN 2025”เข้าชมฟรีททท.คาดเงินสะพัด3.5 พันล้านบาท เผยยอดจองที่พักพุ่งกว่า 91%

จำนวนผู้