เชียงใหม่ / ผู้ต้องหา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-พ.ร.บ.โรคติดต่อ แฉถูกกลไกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้ง ทำให้ใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้ จวกรัฐบาลมือถือสากปากถือศีล บอกให้เด็กพูดได้-ทำได้ แต่ทำแล้วถูกคุกคาม วอนอย่าใช้คำว่า“ชังชาติ” ผลักใสคนออกจากพื้นที่ความเป็นชาติ พร้อมยืนยันเตรียมเคลื่อนไหวต่อ แต่ยังไม่เปิดเผยรูปแบบกิจกรรม หวั่นถูกสันติบาล-ฝ่ายความมั่นคงแทรกแซงเมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 18 ส.ค.63 นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 3 คน ได้แก่ นายวัชรภัทร ธรรมจักร คณะนิติศาสตร์, นายวิธญา คลังนิล และนายธนาธร วิทยเบญจางค์ จากคณะมนุษยศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ จากการชุมนุมและปราศรัย #คนเชียงใหม่จะไม่ทน too ที่ข่วงประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ เมื่อเย็นวันที่ 19 ก.ค.63 ได้เดินทางมารายงานตัวที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ พร้อมกับทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยนายประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ ที่เป็นผู้ต้องหาอีก 1 ราย ไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะติดภารกิจที่กรุงเทพฯ และได้แจ้งต่อทางอัยการเรียบร้อยแล้วนายวัชรภัทร เปิดเผยว่า เป็นการเดินทางมารับทราบนัดหมายกับทางอัยการ เป็นผลัดที่ 3 (ครั้งที่ 2) หลังจากทางพนักงานสอบสวน มีความเห็นควรสั่งฟ้อง และส่งมอบหลักฐานให้อัยการก่อนหน้านี้ แต่ทางอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ยังไม่มีคำสั่งในคดี และได้นัดผลัดต่อไป ในวันที่ 24 ส.ค.63 เวลา 10.00 น.“พวกเรารู้สึกว่าเป็นการใช้กลไกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อกลั่นแกล้ง ขัดขวาง อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติสุขได้ เช่น ปกติเวลานี้คือเวลาเรียน แต่กลับต้องมารับทราบนัดหมายแทน อีกมิติหนึ่ง คือความชอบธรรมในกฎหมาย ไม่ว่าจะข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่อ้างว่ามีเจตนารมณ์เพื่อยับยั้งโรคระบาดโควิด-19 แต่ในความเป็นจริงโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาร่วม 80 วัน ถ้าจะระบาดก็เกิดขึ้นหลายรอบแล้ว นี่จึงเป็นกลไกที่จะทำให้นักศึกษา หรือผู้ที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะสู้ต่อไป และเข้าสู่กระบวนการ เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไม่ผิด และเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายรัฐธรรมนูญ” นายวัชรภัทร กล่าวสำหรับความเคลื่อนไหวต่อไป ต้องรอติดตามในเพจเฟสบุ๊ค ชื่อ “ประชาคมมอชอ” ซึ่งจะแจ้งความเคลื่อนไหวต่อไป ทั้งการชุมนุม การเสวนา หรือกิจกรรมต่างๆ ทั้งนี้ต้องรอดูรูปแบบหรือติดตามข่าวสารภายในเพจ เพราะกระบวนการที่ทำกันอยู่นี้ ถ้ารู้ก่อนอาจถูกแทรกแซงโดยภาครัฐ ซึ่งล่าสุดก็มีความกังวลอย่างมาก ที่สันติบาลหรือฝ่ายความมั่นคงต่างๆ จะเข้ามาแทรกแซง ในสิ่งที่นักศึกษา ประชาชน รวมถึงเยาวชนจะทำ ดังนั้นจึงขอปิดเป็นความลับไว้ก่อน เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นว่าไม่ใช่แค่นักศึกษา หรือประชาชนแล้ว หากไปถึงเยาวชน เด็กนักเรียนมัธยม ประถม เริ่มออกมาถามถึงเสรีภาพของเขาในการแสดงความคิดเห็น ไม่ทนต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรมนายวัชรภัทร ย้ำว่า จากการตั้งข้อสังเกต พบว่าเด็กมัธยมที่มา และถูกขัดขวางโดยครู หรือผู้ใหญ่ รวมทั้งการที่มีตำรวจเข้าไปหาถึงในเขตโรงเรียน อันเป็นเขตที่ควรได้รับการคุ้มครองในการแสดงความคิดเห็นจากเด็กๆ แค่ชูกระดาษเปล่า หรือชู 3 นิ้ว ก็อาจถูกมองว่าขัดต่อขนบธรรมเนียม ประเพณี แต่ตนมองว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ขัดต่อความเชื่อใดๆ เลย หากเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง หรือเยาวชนที่ตอนนี้ถูกกีดกันออกจากพื้นที่เสรีภาพต่างๆ ดังนั้นอย่าทำให้พื้นที่ของเด็กเหลือน้อย หรือถูกผลักใสออกไปจากพื้นที่ความเป็นชาติ โดยคำว่าชังชาติ และอย่ายัดเยียดคำว่าชังชาติให้กับเด็กๆ เพราะถ้าเขาไม่มีพื้นที่เมื่อไหร่ ในอนาคตความภูมิใจในชาติของพวกที่บอกว่ารักชาตินักหนา จะไม่เหลือแม้แต่นิดเดียวส่วนท่าทีของรัฐบาลนั้น บอกว่าเด็กสามารถพูดได้ ทำได้ แต่ในความเป็นจริงเด็กถูกคุกคาม ถูกติดตาม ล่าสุดที่ จ.สุราษฎร์ธานี จึงอยากให้ผู้ใหญ่มองว่า ถ้าไม่ให้พื้นที่เด็กในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีภาพ แล้วมาบอกว่าทำได้เต็มที่ ทำได้เลย หากหลังจากกระทำแล้ว กลับถูกติดตามหรือคุกคาม นับเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ควรทำ เพราะเขาเรียกว่ามือถือสากปากถือศีล.