แม่ทัพภาคที่ 3 ย้ำการทำงานคือต้องรับฟังความคิดเห็น ถ้าหากมีปัญหาขัดข้อง ผิดพลาดก็ต้องยอมรับและแก้ไข ฟันธงช่วงช่วงสงกรานต์อากาศต้องดี ให้ขยายผลการลดปัญหาเกิดฝุ่นpm2.5 กำชับการทำงานให้เป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมั่น “ทีมประเทศไทย”จะเป็นอาวุธลับทำให้การแก้ปัญหาบรรลุเป้าหมายได้
เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 ที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ที่ อาคารยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 เป็นประธานประชุมและมอบนโยบายแผนการปฏิบัติงานและแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็กpm2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2568 ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ได้มีการจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ที่ อาคารยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยกำหนดเป้าหมายสำคัญ 7 ดอย , 19 รอยต่อ , และ 12 ป่าแปลงใหญ่ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ จุดความร้อนลดลง พื้นที่เผาไหม้ลดลง และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดระดับความรุนแรงลง จนไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตามที่รัฐบาลกำหนด
แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ในนโยบายในที่ประชุมโดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานถึงการทำงานบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่อยากให้ร่วมกันทำงานให้เป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่าอาจจะไม่ทันใจประชาชนบ้างเหมือนกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา แต่สิ่งสำคัญในการทำงานคือต้องรับฟังความคิดเห็น ถ้าหากมีปัญหาขัดข้อง ผิดพลาดก็ต้องยอมรับและแก้ไข
“ปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นฯเป็นวาระแห่งชาติทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเหมือนน้ำท่วม แต่สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้คือการทำฝนเทียม ตอนนี้ก็ขอภาวนาให้ระดับความชื้นเกิน 60% เพื่อฝนหลวงจะได้ขึ้นปฏิบัติการได้ นอกจากนั้นก็ต้องลดการเผา โดยเฉพาะพื้นที่สูงซึ่งต้องขอความร่วมมือเข้าใจว่าเป็นวิถีชีวิตและความเคยชิน อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุต้องขอฝ่ายปกครองไปทำความเข้าใจกับประชาชน ขอฝากฝ่ายปกครองและกระทรวงเกษตรฯด้วยต้องลดการเผาและทำไร่เลื่อนลอยบนพื้นที่สูงให้ได้25-30% ทั้งนี้ต้องหารายได้ไปทดแทนด้วย”พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวและว่า
ในส่วนของอากาศยานให้ใช้ที่กองพลทหารราบที่ 7 เป็นศูนย์การบิน ดูสมรรถนะในการดับไฟเฮลิคอปเตอร์ KA32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะทำได้เต็มศักยภาพเพราะสามารถบรรทุกน้ำได้ครั้งละ 3,000-5,000 ลิตรซึ่งก็จะเป็นอากาศยานหลักขึ้นไปดับไฟ ส่วนเรื่องน้ำมันเฮลิคอปเตอร์ขอให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้สนับสนุนเนื่องจากกองทัพบกก็มีงบฯค่อนข้างจำกัด ส่วนการบัญชาการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการสั่งการ Single Command หน่วยงานทหารเป็นหน่วยสนับสนุน และขอให้ขยายความร่วมมือลงระดับชุมชนให้จัดตั้งหน่วยขึ้นมาดูแลไฟป่าด้วย
จากนั้นแม่ทัพภาค 3 ได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการและตรวจความพร้อมและให้กำลังใจชุดปฏิบัติการดับไฟป่า อากาศยานและอุปกรณ์ดับไฟป่า จาก กองทัพภาคที่ 3 , กรมป่าไม้ , กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย , องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และมวลชนจิตอาสา กว่า 500 นาย
พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่า ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เข้าใจตรงกันแล้วว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์อากาศจะต้องดี ประชาชนต้องได้อากาศดีหายใจและให้ขยายผลการลดปัญหาเกิดฝุ่นpm2.5 อย่างไรก็ตามเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายน่าจะเป็นแนวทางสุดท้ายหากมีคนฝ่าฝืนและลักลอบเผาก็ขอให้ทางฝ่ายปกครองไปทำความเข้าใจแล้ว ส่วนพื้นที่ป่าก็ทางป่าไม้และอุทยานฯจะเป็นผู้ไปดำเนินการ
“ในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นห่วงมากที่สุดคือเชียงใหม่ เพราะปีที่แล้วก็มีการเผามาก ไฟป่าเกิดมากผลกระทบจากฝุ่นpm2.5 ก็มาก เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ รองลงมาก็เชียงราย ตาก ซึ่งได้เน้นย้ำขอให้เจ้าหน้าที่ไปทำความเข้าใจและทำงานเป็นทีม เราต้องเป็นทีมประเทศไทย ทีมภาคเหนือ การทำงานเป็นทีมจะเป็นอาวุธลับในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้”แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว.