ความสงสัยว่าหนุ่มสาวเกาหลี ที่เดินทางร่วมบัสคันเดียวกันจากนครหลวงเวียงจันทน์ มายังวังเวียง และคณะทัวร์จีนหายไปไหน เมื่อริมฝั่งแม่น้ำซอง มีแต่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ กระตุ้นให้เราเดินกลับเข้ามาเดินบนท้องถนนของวังเวียงอีกครั้ง เมื่อมาถึงสามแยกที่มีมินิมาร์ทตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง ก็เลือกเดินไปทางซ้าย จึงเห็นว่าเป็นย่านที่ชาวเกาหลี และจีนเข้าพักอย่างหนาแน่น
นอกเหนือจากโรงแรมที่พักแล้ว ยังมีร้านขายเสื้อผ้าของที่ระลึกเรียงรายหลายร้าน สลับด้วยบริษัทนำเที่ยว และร้านอาหาร บนถนนสายหลัก มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าไปนั่งดื่มกินอย่างคึกคัก กระทั่งดึกสงัด เสี้ยวจันทร์ในคืนข้างขึ้น ถูกบดบังด้วยเมฆสลัว นักท่องเที่ยวจึงทยอยกลับเข้าที่พัก ชาร์ทพลังงานให้กับตัวเองไว้รับกิจกรรมของวันใหม่
แสงแรกแห่งอรุณรุ่งมาเยือน กรุ่นไอของกาแฟร้อน กับเบเกอรี่ ดึงดูดให้ผู้คนเข้าไปเติมพลังไม่ขาดสาย รถ 6 ล้อของบริษัททัวร์ต่างๆ ที่นำมาทำเป็นสองแถว ออกวิ่งรับนักท่องเที่ยวที่จองทริปล่วงหน้า ตามโรงแรมที่พัก บางกรุ๊ปอยากสัมผัสธรรมชาติให้เต็มอิ่ม ลงทุนเช่าจักรยาน หรือมอเตอร์ไซด์ลุยกันเอง ซึ่งมีให้เลือกหลายรุ่นหลายแบบทีเดียว
เราเลือกมาตามเส้นทางลูกรังที่ค่อนข้างขรุขระเกือบ 6 กิโลเมตร แต่ทิวทัศน์ตามรายทางยังคงธรรมชาติไว้อย่างสวยงาม ทุ่งนาหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวทิ้งร่องรอยของตอซังข้าวให้เห็นเป็นบางจุด ถนนสายเล็กที่มีภูเขาโอบล้อมดูมีมิติ แม้จะเจอฝุ่นคลุ้งบ้างเมื่อรถวิ่งผ่าน กระทั่งถึงสะพานไม้ที่ทอดข้ามไปยังบลูลากูน สระน้ำสีเขียวมรกต ท่ามกลางแมกไม้ อันเป็นจุดหมายแรกของวัน เพราะได้รับคำแนะนำจากเจ้าของที่พักว่าต้องมาถึงเช้าๆ จะได้เห็นน้ำใสสีเขียวคราม แสดงถึงความลึก ส่วนบริเวณที่ตื้น น้ำจะใสมากจนมองเห็นข้างใต้ สามารถลงเล่นได้ตามอัธยาศัย และหากสายกว่านั้น ความใสของน้ำจะลดลง จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่บลูลากูนนี้ มีทั้งศาลาขนาดเล็กริมน้ำให้นั่งพักผ่อน ร้านขายอาหาร และห้องน้ำ ความเย็นสบายของอากาศ และสีเขียวขจีของพรรณพืช ทั้งยังมีเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ทำให้เราอยู่จุดนี้ค่อนข้างนาน ก่อนลัดเลาะไปด้านหลัง เดินขึ้นบันไดหินขึ้นสู่ถ้ำปูคำ ด้วยหนทางที่ค่อนข้างชัน แม้จะใช้เวลาเดินแค่ 10 นาที หากเรียกเหงื่อได้ไม่น้อยภายในถ้ำมีแสงสว่างลอดผ่านช่องหินเข้ามาบ้าง แต่ยังค่อนข้างมืด แถมมีน้ำหยดขังเป็นบางจุด ทำให้ลื่นล้มได้ง่าย ถ้าขาดความระมัดระวัง จึงต้องเช่าไฟฉายแบบคาดศีรษะจากหน้าบันไดทางขึ้นเข้าไปด้วย เมื่อถึงช่วงกลางถ้ำจะเห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่บนแท่น ดูเรืองรองน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาท่องเที่ยว หลังจากลงมาจากถ้ำปูคำ แวะรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ช่วงบ่ายเรามุ่งหน้าไปถ้ำจัง ซึ่งหากจากตัวเมืองวังเวียงเพียง 1 กิโลเมตร สีส้มโดดเด่นของสะพานเหล็ก หรือสะพานแดง ชวนให้นักท่องเที่ยวแวะถ่ายรูป คล้ายจุดเช็คอินของวังเวียง พร้อมกับจ่ายเงินค่าข้าม และเมื่อมาถึงถ้ำจัง ก็ต้องจ่ายค่าเข้าชมอีก 15,000 กีบ อันเป็นอัตราของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หากไม่มีใครบ่น นอกจากเสียงชื่นชมกับความงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ กระทบกับแสงสว่างที่ลอดเข้ามา และแสงไฟที่ติดไว้ทั่วทั้งถ้ำ บางครั้งเลื่อมระยับคล้ายเกล็ดมณีอันมีค่า
การเดินภายในถ้ำจัง ดูเหมือนจะง่ายกว่าถ้ำปูคำหลายเท่าตัว เพราะเป็นพื้นคอนกรีต มีราวกั้น ดูปลอดภัยมากกว่า ค่อยๆ เดินอย่างไม่เร่งรีบ จนเกือบ 10 นาทีต่อมา ก็ทะลุถึงอุโมงค์อีกฝั่งหนึ่ง พบจุดชมวิวที่มองเห็นสะพานแดง แม่น้ำซอง และตัวเมืองวังเวียงในมุมสูงอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีถึงกับฮือฮาด้วยความชอบใจบ่ายคล้อย ไหนๆ ก็เที่ยวแบบชิลล์ๆ เลยขอยลความสนุกจากจุดปล่อยทูบปิ้ง หรือห่วงยางขนาดใหญ่ และเรือคายัค ก่อนกลับเข้าตัวเมือง ที่ต้องเรียกว่ายล เพราะแค่ซึมซับความเร้าใจจากการดูจริงๆ ไม่ได้ลงไปประลองด้วยตนเอง เนื่องจากว่ายน้ำไม่เป็น แม้จะมีเสื้อชูชีพ และระดับน้ำไม่ลึกมากก็ตาม สังเกตว่าบริเวณนี้มีแต่นักท่องเที่ยวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อปล่อยทูบปิ้ง หรือพายเรือคายัค มาตามกระแสน้ำซอง ก็จะไปถึงจุดหมายในตัวเมืองวังเวียง สามารถคืนเรือ ห่วงยาง หรือเสื้อชูชีพได้ที่ปลายทาง ไม่ต้องย้อนกลับมาที่เดิม เราจึงกลับมายืนอยู่บนสะพานไม้ข้ามน้ำซองในตัวเมือง เพื่อรอดูขบวนเรือคายัคที่ทยอยมาตามสายน้ำอีกครั้งกระทั่งเย็นย่ำจึงแวะรับประทานอาหาร ก่อนกลับเข้าที่พักหลังตะวันลาลับขอบฟ้า ราตรีนี้อาจยังเยาว์สำหรับนักท่องเที่ยว แต่อาการเหนื่อยล้าจากการตะลอนเที่ยวมาทั้งวัน เรียกร้องให้กลับมาพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวกลับในสายของวันรุ่งขึ้น….ทริปนี้เวลาค่อนข้างน้อย ยังท่องเที่ยวไม่ทั่วถึง รอบหน้าหากมีโอกาสคงได้กลับมาเยือนแดน “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว” แห่งนี้อีกครั้ง.