รัฐบาลอินเดียยกระดับเป็นสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระดับอุปทูต กระชับความสัมพันธ์สร้างความร่วมมือ 17 จว.เหนือ

รัฐบาลอินเดียยกระดับเป็นสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระดับอุปทูต กระชับความสัมพันธ์สร้างความร่วมมือ 17 จว.เหนือ

กงสุลใหญ่อินเดียแถลงข่าววาระครบรอบ 50 ปีสถานกงสุลฯและครบรอบ 75 ปีวันเอกราช เผยรัฐบาลอินเดียยกระดับเป็นสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระดับอุปทูต พร้อมตั้งรองกงสุล มาปฏิบัติหน้าที่ดูแลด้านการพาณิชย์ วัฒนธรรมและการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกับทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.64 Mr. Krishna Chaitanya กงสุลอินเดียประจำจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในโอกาสวาระครบรอบ 50 ปีสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ และวาระครบรอบ 75 ปีวันเอกราชของประเทศอินเดีย ซึ่งจะมีการจัดเฉลิมฉลองภายใต้ชื่อว่า “Azadi Ka Amrit Mahotsav”

Mr. Krishna Chaitanya กงสุลอินเดียประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ได้เริ่มเปิดทำการที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2515 ซึ่งถือโอกาสของวาระการครบรอบ 50 ปีสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่และครบรอบ 75 ปีวันเอกราชของประเทศอินเดีย ซึ่งตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP รายปีและผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว อยู่ที่ 0.9% และ 0.1% ตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษก่อนการประกาศอิสรภาพ ภายหลังค่าเฉลี่ยดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.32% และ 2.24% ตามลำดับในห้วงระยะเวลา 50 ปีและขยับไปอยู่ที่ 7.6% และ 6% ในช่วง 10 ปีแรกของศตวรรษนี้

ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอันรวดเร็วนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรให้ดีขึ้นอย่างเป็นที่น่าสังเกต โดยจะเห็นได้ว่าอายุค่าเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นจาก 32.1 ใช่วงปีพ.ศ.2493-2494 เป็น 69.7 ในช่วงปีพ.ศ.2563-2564 อัตราการเสียชีวิตของทารกลดลงจาก 180% เหลือเพียง 29% อัตราการเสียชีวิตลดลงจาก 43.7% เป็น 7.3% ขณะที่อัตราการรู้หนังสือของประชากรเพิ่มขึ้นจาก 18.43% เป็น 74.37%

กงสุลใหญ่อินเดีย ประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจยังสะท้อนถึงความสำเร็จอันยอดเยี่ยมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของโลกแล้ว ประเทศอินเดียยังเป็นร้านเภสัชกรรมของโลก ทุบดินใหม่บนโลกแห่งเทคโนโลยี สรรสร้างองค์ความรู้สติปัญญาและแบ่งปันผลิตผลแห่งความสำเร็จสู่โลก

“บทพิสูจน์ล่าสุดของอินเดียคือการควบคุมการเร่งให้วัคซีนป้องกันโรคไวรัสโคโรนา 2019แก่ประชาชน ในสภาวะการระบาดอย่างหนักในประเทศโดยใช้สรรพกำลังด้านวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ ปัจจุบันประเทศอินเดียได้ฉีดวัคซีนให้กับประชากรเพิ่มมากขึ้นครอบคลุมทั้งสิ้น 1,003 ล้านคน โดยการรณรงค์ด้านวัคซีนที่ผลิตใช้ในประเทศ 2 ชนิดโดยมีชนิดหนึ่งพัฒนาและผลิตในประเทศอินเดีย นอกจากนี้อินเดียยังพัฒนาวัคซีนจากดีเอ็นเอ DNA-ZyCoV-Dและวัคซีนทางจมูกที่อยู่ในขั้นตอนทดลองวิจัยอยู่ในขณะนี้ด้วย” Mr. Krishna Chaitanya กล่าวและว่า

แม้ในขณะที่ประเทศอินเดียจะต้องเผชิญหน้ากับงานที่หนักหนาสาหัสและวิกฤติด้านการให้วัคซีนแก่ประชากรจำนวนมหาศาลของประเทศนั้น อินเดียก็ได้จัดหาวัคซีนจำนวน 6 ล้านโดสให้แก่ 95 ประเทศเป็นปฏิบัติการกระจายวัคซีนสู่ทุกหมู่บ้าน และขณะนี้อินเดียก็ยังคงจัดหาวัคซีนให้กับประเทศที่เหลือในโลก เมื่อเริ่มมีการระบาดของโรคในระลอกแรก ประเทศอินเดียได้เคยจัดหาวัคซีนที่เกี่ยวเนื่องกับ COVID-19 รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆให้แก่หลายๆประเทศมาแล้ว รวมถึงกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

กงสุลใหญ่อินเดีย ประจำเชียงใหม่ กล่าวต่อไปอีกว่า รัฐบาลอินเดียได้ยกระดับเป็นสถานกงสุลใหญ่อินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ โดยตำแหน่งกงสุลอินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ยกระดับเป็นระดับอุปทูต (Counsellor) และมีคำสั่งแต่งตั้งรองกงสุล (Vice Consul) ประจำสถานกงสุลอินเดีย จังหวัดเชียงใหม่ Mr. Ramji Ramaswamy ผู้ซึ่งจะมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลด้านการพาณิชย์ วัฒนธรรมและการศึกษา ที่ซึ่งจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์และร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นกับทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ซึงขณะนี้ได้เดินทางมายังประเทศไทยแล้วและจะเข้ารับตำแหน่งรองกงสุล หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการกักตัวตามระเบียบด้านสาธารณสุข

สำหรับกิจกรรมการเฉลิมฉลอง Azadi Ka Amrit Mahotsav นั้น ในเดือนที่ผ่านมาสถานกงสุลใหญ่อินเดียได้จัดงานแลกเปลี่ยนนานาทัศนะ ในบรรยากาศไม่เป็นทางการ ทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม และแนวความคิดภายใต้ชื่อว่า Chiang Mai Chaupal-เชียงใหม่ จอปาล .            นอกจากนี้ สถานกงสุลฯ ยังได้มอบรางวัลแก่นักเรียนและผู้ประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม จากชมรมชาวอินเดียพำนักอาศัยในขอบเขตความรับผิดชอบของสถานกงสุลฯ ซึ่งรางวัลดังกล่าวนี้ให้ไว้เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ นาย ลาล ซิงห์ ปานธี ผู้ซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อการปลดแอกอีกหนึ่งท่าน

นายลาล ซิงห์ ปานธีเคยอาศัยอยู่ ณ จังหวัดแพร่และเป็นบุคคลที่เข้าร่วมกับกองทัพแห่งชาติอินเดีย (INA) จากคำบอกเล่าประวัติครอบครัวของลูกหลานสายตรงท่าน แจ้งว่า ท่านคือรองประธานสาขาประเทศไทย ในกองทัพแห่งชาติอินเดียและยังทำหน้าที่เป็นผู้เขียนคำกล่าวประจำของท่าน เนตาจี สุบาส จันทรโบส Netaji Subhas Chandra Bose ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพแห่งชาติอินเดียและผู้นำรัฐบาลประเทศอินเดียชั่วคราว ที่จัดตั้ง ณ ประเทศสิงคโปรในกาลครั้งนั้น ธุรกิจของครอบครัวท่าน ลาล ซิงห์ ปานธี ในจังหวัดแพร่นั้น เป็นที่รู้จักในนาม Universal ซึงมอบผลประกอบการกำไรครึ่งหนึ่งให้กับกองทัพอินเดียรวมถึงจัดหาเสบียงแก่กองทัพในขณะนั้น

Mr. Krishna กล่าวด้วยว่า ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีชาวอินเดียเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยและเชียงใหม่ถึงปีละ 2 ล้านคน และเชื่อว่าภายหลังเปิดประเทศและ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดฯดีขึ้น รวมทั้งการลงนามข้อตกลงเป็นบ้านพี่เมืองน้องของจังหวัดฟูอากิ ซึ่งเป็นจังหวัดทางตอนเหนือของอินเดียกับไทยซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงนามความร่วมมือก็จะทำให้ความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนบุคลากรและจัดหาเที่ยวบินตรงเพื่อให้การเดินทางเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น.

You may also like

เริ่มแล้วกับงาน“AMAZING CHIANG MAI COUNTDOWN 2025”เข้าชมฟรีททท.คาดเงินสะพัด3.5 พันล้านบาท เผยยอดจองที่พักพุ่งกว่า 91%

จำนวนผู้