วาเลนไทน์…วันรักใสๆ เข้าใจวัยทีน

วาเลนไทน์…วันรักใสๆ เข้าใจวัยทีน

14 กุมภา วันวาเลนไทน์ นับเป็นอีกวันหนึ่งที่วัยรุ่นหัวใจสีชมพูเฝ้ารอคอย แม้จะเป็นคนตะวันออก แต่ย่อมไม่พลาดที่จะเตรียมของขวัญ ช็อกโกแลต  ตลอดจนข้อความพิเศษต่างๆ มอบให้คนรัก

ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่อดคิดไม่ได้ว่าวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก คือวันที่วัยรุ่นยอมเสียตัว มีเพศสัมพันธ์กันมากที่สุด

หากในมุมมองของคนที่ทำงานกับเด็กและเยาวชน กลับเห็นแตกต่างออกไป เพราะพวกเขาบอกว่า “วาเลนไทน์” มีความเสี่ยงเสียตัวน้อยกว่าวันลอยกระทงรติรัตน์ วุฒิ  ผู้ประสานงานโครงการร้อยชุมชนสุขภาวะทางเพศ บ้านก๊อน้อย หมู่ 1 ต.ทุ่งกล้วย อ.ภูซาง จ.พะเยา เล่าว่า วาเลนไทน์ เป็นเพียงวันธรรมดาที่เด็กยังไปโรงเรียน ตามปกติ ถ้าจะมีความพิเศษ ก็คือการเตรียมของขวัญ หรือสติกเกอร์รูปหัวใจไปมอบให้กัน ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อน หรือแม้แต่ครู เป็นเหมือน Puppy Love พอช่วงเย็นก็กลับบ้าน ความเสี่ยงที่เด็กจะออกนอกลู่นอกทาง หรือเสียตัวในวันนี้ ก็มีเท่ากับวันทั่วไปวันลอยกระทง หรือประเพณียี่เป็งของทางเหนือต่างหาก ที่เด็กมีโอกาสเสียตัวสูง เพราะพ่อแม่มักจะอนุญาตให้ลูกออกไปลอยกระทงกับเพื่อนช่วงกลางคืน แถมบางรายพ่อกับแม่เองยังมีกิจกรรมสังสรรค์ นั่งดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อนฝูง มองข้ามความปลอดภัย และเวลากลับของลูก ดังนั้นด้วยสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่เป็นใจ ก็ทำให้ชายหญิงเกินเลยกันได้โดยง่าย ซึ่งบางครั้งไม่ต้องพึ่งโรงแรมด้วยซ้ำไป แค่หาที่หลบมุม ทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติแบบขาดความยับยั้งชั่งใจเธอบอกว่า ที่ผ่านมาเคยมีการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “วัยรุ่นไทยกับประเพณีลอยกระทง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา และมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในช่วงปี 2555 โดยลงพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และสุ่มจากกลุ่มตัวอย่าง 1,042 ราย ที่มีช่วงอายุระหว่าง 15-25 ปี ร้อยละ 40 ระบุว่าเทศกาลลอยกระทง มีโอกาสนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นมากที่สุด รองลงมาร้อยละ 28 ตอบว่าวันวาเลนไทน์ ถัดมาคือวันสงกรานต์ ร้อยละ 17 วันขึ้นปีใหม่ ร้อยละ 8 และวันหยุดทั่วไป ร้อยละ 7“การสร้างความเข้าใจและสื่อสารเรื่องเพศเชิงบวก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นเกราะคุ้มกันให้วัยรุ่นลดโอกาสเสี่ยงลงได้ ทั้งจากการชิงสุกก่อนห่าม การติดโรค การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ แต่กว่าจะสื่อสารกับผู้ปกครองและคนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องเพศได้ก็ต้องใช้เวลา เนื่องจากมายาคติทำให้เห็นเรื่องเพศเป็นเรื่องเร้นลับ น่าอับอาย น่ารังเกียจที่จะกล่าวถึง บางรายก็เห็นเป็นเรื่องทะลึ่งตึงตัง หรือกลายเป็นเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาพูดสองแง่สามง่ามแบบตลกโปกฮา ทั้งที่เพศเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัยตั้งแต่หัวจรดเท้า” รติรัตน์ อธิบายพ่อแม่มักจะคิดว่าลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ เสมอ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ สรีระร่างกาย เช่น การมีประจำเดือน การฝันเปียก การใช้ถุงยางอนามัย การคุมกำเนิด ฯลฯ เด็กจะเรียนรู้ได้อัตโนมัติเมื่อถึงเวลา ไม่จำเป็นต้องสอน เพราะอาจกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอก หากในทางตรงข้ามก็ทำให้เด็กขาดโอกาสในการเตรียมตัวและรับมือกับช่วงวัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรติรัตน์ ย้ำว่า ในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการร้อยชุมชนสุขภาวะทางเพศ ของ สสส.สำนัก 6 ในครั้งนี้ เป็นเพราะอยากทำให้พื้นที่บ้านเกิดมีการสื่อสารเชิงบวกต่อกัน และถ้าเริ่มต้นจากเรื่องเพศ เรื่องอื่นๆ ก็จะพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น โดยมีเด็กในชุมชนที่มีช่วงอายุ 11-16 ปี และยังไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสียง แต่ธรรมชาติของเด็กทุกคนย่อมมีความเปราะบางในตัวเอง เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกประมาณ 20 คน มีการตั้งวงคุยกันในมุมเด็ก ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ปกครองก็ตั้งวงคุยกันในมุมของผู้ใหญ่ ทำให้รู้ถึงความคิด ความต้องการของทั้ง 2 กลุ่มที่ไม่ตรงกัน ทว่าสิ่งที่มองเห็นก็คือความรัก ความห่วงใย ที่พ่อแม่มีต่อลูกหลาน“โชคดีที่การทำงานไม่ได้ทำอย่างโดดเดี่ยว แต่มีภาคีและความร่วมมือจากหลายองค์กรในพื้นที่ อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่มสตรีแม่บ้าน ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในชุมชน เมื่อมีการอบรมเรื่องเพศ ก็เป็นสัญญาณที่ดี ที่มีการพูดคุยในวงกว้างค่อนข้างฮือฮา ซึ่งถ้าครอบครัวเห็นประโยชน์ นำไปสื่อสารต่อเด็กให้เรียนรู้ เข้าใจเรื่องเพศอย่างถูกต้อง เด็กก็จะไม่สันสน อ้างว้าง ยามมีปัญหาสามารถปรึกษาผู้ใหญ่ได้ตลอด ขณะเดียวกัน หากครอบครัวไม่เข้าใจ เด็กก็เหมือนลูกปิงปองเด้งไปเด้งมา ไม่สามารถปรึกษาหารือกับใครได้” รติรัตน์ กล่าวด้านกฤติกร คงกาบ ผู้ประสานงานโครงการร้อยชุมชนสุขภาวะทางเพศ บ้านทุ่งรวงทอง ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ จ.พะเยา เสริมว่าเดิมการสื่อสารเรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ทำกับเด็กมานานหลายปีแล้ว จนเกิดคำถามว่าเรื่องนี้ทำกับเด็กมามาก แต่ทำไมไม่ทำกับพ่อแม่บ้าง เพราะถึงเด็กจะเรียนรู้ ก็พูดคุยกับพ่อแม่ไม่ได้ซ้ำทุกวันนี้เด็กเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งที่ร่างกายยังไม่เปลี่ยนแปลง ความคิดของผู้ใหญ่ที่จะบอกสอนเรื่องที่ลูกควรเรียนรู้เกี่ยวกับเพศในตอนที่สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง และเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วจริงๆ จึงสายเกินไป แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยากต่อการสื่อสาร หากขาดความเข้าใจ พ่อแม่หลายคนอึกอักไม่สามารถตอบคำถามที่ลูกอยากรู้ได้ บางคนถึงกับให้ข้อมูลผิดๆ เพื่อให้ผ่านพ้นไป หลายรายคิดว่าเป็นเรื่องที่ครูต้องสอนในวิชาสุขศึกษา ซึ่งนั่นอาจไม่เพียงพอกับความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆแม้กระทั่งการสอนให้เด็กรักนวลสงวนตัว ไม่ชิงสุกก่อนห่ามในวันเวลาที่ไม่สมควร ถ้าไม่มีเหตุผลรองรับที่ดีพอ เด็กย่อมมีคำถาม และในกรณีที่เกิดปัญหา เด็กปล่อยตัวให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ก็ต้องมีทางออกในเชิงป้องกันอย่างรู้เท่าทัน การสื่อสารกันด้วยความรัก ความเข้าใจ คือสิ่งที่จะทำให้ลูกกล้าเปิดใจ และก้าวข้ามปัญหาไปด้วยกันอย่างแข็งแกร่ง“ในการทำงาน ได้ใช้กลไกชุมชน เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน เมื่อเด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ผู้ใหญ่จะช่วยสนับสนุน และเมื่อจัดอบรมทั้งในกลุ่มเด็ก กับผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องคอยติดตามว่ากลับไปที่บ้าน เด็กจะพูดสื่อสารอะไรกับพ่อแม่บ้าง เขาต้องการอะไรเพิ่มไหม พ่อแม่พูดคุยกับลูกอย่างไร การสื่อสารที่ดีจะทำให้สัมพันธภาพในครอบครัวอบอุ่นขึ้นด้วย” กฤติกร กล่าววันนี้ โครงการถูกนำมาดำเนินการในพื้นที่ได้ 10 เดือน เปรียบเสมือนวัคซีนเข็มแรก ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชน ทำให้เรื่องเพศกลายเป็นเรื่องที่พูดได้ ทั้งในกลุ่มเพื่อน ในครอบครัว และชุมชน แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นต่อไป เพื่อสร้างผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว.

You may also like

ทอท.เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ประชาชนในรัศมี 5 กม. จากสนามบินเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 เกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่

จำนวนผู้