เชียงใหม่ / สสส.จับมือสถานบันวิชาการคู่ความร่วมมือของชุมชนท้องถิ่น หนุน อปท.เปลี่ยนภาระเป็นพลัง กระตุ้นสูงวัยสร้างเมือง ย้ำอีก 5 ปี ไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 25% ของประชากร จำเป็นต้องพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น พร้อมดึงทุนทางสังคมและศักยภาพชุมชนออกมาใช้มากขึ้น น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการ “เวทีสานพลังสูงวัยสร้างเมือง” ที่จัดขึ้นช่วงวันที่ 29-30 ม.ค.63 โดยความร่วมมือของ สสส. กับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ 25 ศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือว่า การจัดกิจกรรมสานพลังครั้งนี้ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระตุ้นผู้สูงอายุให้รู้สึกว่าตนเองยังมีพลัง มีศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ ไม่ต้องเป็นผู้รับตลอด ถ้าเป็นผู้รับตลอด เขาจะรู้สึกด้อยค่า ด้อยความสำคัญ ขณะเดียวกันสื่อมวลชน ก็ควรสื่อสารเรื่องสูงวัยสร้างเมืองให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เนื่องจากอีก 5 ปี สังคมไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึง 25% ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง จะมีสวัสดิการสำหรับคนในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกัน ยิ่งสูงอายุมากเท่าไหร่ก็จะได้รับครอบคลุมมากขึ้น แต่เราไม่มีเงินดูแลอย่างเพียงพอ ในการทำให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพดี การส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงวัย ด้วยทุนทางสังคมและศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และจากข้อมูล พบว่าปัจจุบันผู้สูงอายุในภาคเหนือมีสัดส่วนสูงมาก ถึง 23.97% แต่เมื่อดูถึงการดูแลจะเห็นได้ว่าหลายพื้นที่ทำอย่างครบวงจร จึงไม่น่ากังวลเท่าไหร่ โดยเฉพาะในพื้นราบ เช่น ทต.ขัวมุง อ.สารภี, ทต.สองแคว อ.ดอยหล่อ, ทต.แม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ มีการใช้ทุนทางสังคมจัดการในพื้นที่ด้วยตนเอง ส่วนบนดอยก็มีการจัดการตามวิถีชีวิต แต่บางแห่งก็พบว่าไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ สสส.ก็มีบทบาทในการเข้าไปสร้างความเข้าใจ โดยดึงนักวิชาการ หมอ ไปคุยว่าอะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง ควรปรับปรุงอย่างไร ด้านนางจิดาภา อิ่นแก้ว ประธานชมรมอุ่นใจ เทศบาลตำบลแม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ต.แม่ปูคา ประสบปัญหาผู้ชายวัยทำงานมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งจากสถิติโรงพยาบาลสันกำแพง พบว่าในปี 2552-2554 มีอัตราการฆ่าตัวตายของคนวัยทำงานปีละ 4-5 คน เมื่อ อสม.ลงเยี่ยมบ้าน ก็ทราบว่านอกจากการฆ่าตัวตายแล้ว ยังมีผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงส่วนมากมีภาวะซึมเศร้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เนื่องจากสูญเสียลูกหลานที่ฆ่าตัวตาย หรือลูกหลานออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาพูดคุยกับผู้สูงอายุ การแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย จึงต้องทำควบคู่กับการดูแลภาวะซึมเศร้าในกลุ่มผู้สูงอายุด้วย อันเป็นที่มาของการตั้งชมรมอุ่นใจ ในปี 2553 ชมรมมีอาสาสมัครเข้ามาเป็นทีมงาน ประมาณ 30-40 คน ได้รับการอบรมด้านการให้คำปรึกษา ถ้า อสม.ให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มเสี่ยงในหมู่บ้าน ก็จะมีทีมลงพื้นที่ โดยประสานงานกับทางโรงพยาบาล ควบคู่กับการใช้กระบวนการชุมชนเยียวยา และในขณะนี้กำลังจะร่วมมือกับเทศบาลตำบลแม่ปูคา ตั้งศูนย์ประสานงานสุขภาพจิต ถ้าผู้ป่วยมาที่นี่จะได้รับคำปรึกษา เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีปัญหาในการดำเนินงาน เช่น ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย บางคนไม่ยอมรับว่าป่วย บางรายลืมกินยาเป็นประจำ เมื่อลงเยี่ยมบ้านก็พบว่าผู้ป่วยรายหนึ่งหลังรับประทานอาหาร จะรีบให้อาหารแมว จนลืมกินยา จึงใช้วิธีแขวนโมบายรูปแมวเตือนความจำ ว่าให้ข้าวแมวแล้วอย่าลืมกินยานะ ก็ลดปัญหาลงได้ ส่วนในภาพรวมหลายรายอาการดีขึ้น และผู้ป่วย 3 รายได้งานทำ สามารถหารายได้เลี้ยงครอบครัว.