วิกฤติฝุ่นpm2.5 ควันจากการเผาป่าทำให้เชียงใหม่ติดอันดับเมืองมลพิษสูงอันดับ 2 ของโลก ท้องฟ้าขุ่นมัวมองไม่เห็นดอยสุเทพต่อเนื่อง แพทย์ออกมาเตือนให้ชาวเชียงใหม่อยู่ในห้องปลอดฝุ่นและงดทำกิจกรรมนอกบ้านจนกว่าอากาศจะดีขึ้น ขณะที่รองปธ.สภาลมหายใจเรียกร้อง “ผู้ว่าฯเซมเบ้”และทีมเชียงใหม่ยกระดับมาตรการป้องกันภัยฝุ่นสูงสุด สั่งหยุดเรียน หยุดใช้รถ ทำงานที่บ้านและแจกจ่ายหน้ากากให้กลุ่มเปราะบางทันที
สถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นpm2.5 จังหวัดเชียงใหม่วิกฤติต่อเนื่อง วันนี้(7 มี.ค.67)ในสื่อโซเซียลมีการโพสตค์ภาพท้องฟ้าตัวเมืองเชียงใหม่ที่ถูกปกคุมไปด้วยหมอกควันไฟป่า สีขาวขุ่น จนมองไม่เห็นดอยสุเทพ ค่ามลพิษสูงเกิน ค่ามาตรฐานทุกสถานี และมองเห็นกลุ่มควันไฟ ได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า จุดชมวิว บนวัดพระธาตุดอยคำ มองแทบไม่เห็นตัวเมือง และหอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ที่มีประชาชน พากันมากราบไหว้สักการะ พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ รวมทั้งบริเวณท่าอากาศยานเชียงใหม่ ขณะที่เช้าวันนี้เชียงใหม่พบจุดความร้อนกระจายใน 16 อำเภอมากถึง 227 จุด พื้นที่อำเภอเชียงดาว มากที่สุด 54 จุด รองลงมาพื้นที่อำเภอสันทราย 29 จุด 
ทั้งนี้นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่จะนำทีมหน่วยแพย์เคลื่อนที่ลงพื้นที่ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว ซึ่งค่าฝุ่นpm2.5 เกินค่ามาตรฐานอยู่ระดับสีแดงมาต่อเนื่องหลายวัน โดยจะให้อสม.เดินเคาะประตูบ้านให้คำแนะนำกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราบาง ผู้สูงอายุ เด็กและผู้ป่วยติดเตียง แจกหน้ากากN95 และหน้ากากทางการแพทย์ ให้คำแนะนำในการป้องกันตนเองในช่วงอากาศวิกฤติ
ด้านนางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้โพสต์เฟสบุ๊คว่าเช้าที่ 7 มีนา 67 ค่าฝุ่นสูงเกินเกณฑ์ไปมาก สภาลมหายใจเชียงใหม่ ขอเรียกร้องให้ ผู้ว่าราชการฯ ป้องกันภัยจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ดำเนินการมาตรการป้องกันภัยฝุ่นสูงสุด ประกาศหยุดเรียน ทำงานจากบ้าน หยุดการใช้รถการจราจรที่จะทำให้ฝุ่นสูงขึ้นไปด้วย ให้ทุกคนใช้หน้ากากป้องกันฝุ่น แจกจ่ายหน้ากากให้กลุ่มเปราะบาง กลุ่มยากลำบาก โดยทันที
ศ.นพ.ขวัญชัย ศุภรัตน์ภิญโญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ในเฟสบุ๊คว่า เช้าวันพฤหัสที่ 7 มีนาคม 2567 ยังมีการเผาป่าหนักและคุณภาพอากาศย่ำแย่ต่อเนื่อง วันนี้จำนวนจุดความร้อนใกล้เคียงกับเมื่อวานทำให้คุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนย่ำแย่ต่อไป (รูปที่ 1) โดย ณ เวลา 5.00 น. มีอย่างน้อย 1 พื้นที่ (อ.พร้าว) ที่อากาศอยู่ในระดับอันตราย (โซนสีน้ำตาลหรือ PM2.5 เฉลี่ยรายชั่วโมงเกิน 250 มคก./ลบม.) 11 พื้นที่ที่อากาศไม่ดีอย่างยิ่ง (โซนสีม่วงหรือ PM2.5 เฉลี่ยรายชั่วโมง 151-250 มคก./ลบม.) และอีก 130 พื้นที่ที่อากาศไม่ดี (โซนสีแดงหรือ PM2.5 เฉลี่ยรายชั่วโมง 56-150 มคก./ลบม.) (รูปที่ 2-4) ซึ่งยังน่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นได้อีกตลอดทั้งวัน ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คุณภาพอากาศไม่ดีดังกล่าวโปรดอยู่ในห้องปลอดฝุ่นและงดทำกิจกรรมนอกบ้านจนกว่าอากาศจะดีขึ้น 
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลแสดงถึงงจำนวนจุดความร้อนสะสมในช่วง 24 ชม.ที่ผ่านมา (นับถึงเวลา 5.30 น.ของวันนี้) ซึ่งข้อมูลจากดาวเทียม S-NPP พบว่าทั้ง 3 ประเทศมีการเผาอย่างมโหฬารมากกว่า 2,000 จุด อัตราการระบายอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ พบว่าวันนี้ภาคเหนือจะมีการระบายอากาศปานกลาง จึงคาดว่าภาพรวมคุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนน่าจะแย่ตลอดทั้งวัน และดีขึ้นในช่วงบ่ายแก่ๆ และจาก GISTDA แสดงจำนวนจุดความร้อนสะสมรายจังหวัดของประเทศไทย (จากดาวเทียม S-NPP) ในวันที่ 6 มีนาคม พบว่าลำปาง แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่มีการเผาในพื้นที่เกิน 300 จุด ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นการเผาในพื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์
โดยบอกว่าเช้านี้เชียงใหม่ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ของเมืองใหญ่ที่อากาศเป็นพิษมากที่สุดในโลกไปแล้ว (รูปที่ 1) รองจากกรุงเดลี อินเดียแบบหายใจรดต้นคอ พอดี AirVisual หรือ IQAir จัดอันดับเฉพาะเมืองใหญ่ๆเท่านั้น แต่ถ้าเอาข้อมูลระดับอำเภอด้วย ลำปางกับเชียงใหม่อยู่อันดับ 1 กับ 2 ของโลกไปนานแล้ว แถมทิ้งห่างอันดับ 3 คือกรุงเดลีแบบห่างไกล (รูปที่ 2).
